Bitget App
เทรดอย่างชาญฉลาดกว่าที่เคย
ซื้อคริปโตตลาดเทรดFuturesCopyบอทเทรดEarn
บล็อกเชน
สงคราม Bitcoin Block Size - สงครามกลางเมืองที่ยังไร้ทางยุติ

สงคราม Bitcoin Block Size - สงครามกลางเมืองที่ยังไร้ทางยุติ

มือใหม่
2023-06-01 | 5m

สงครามในเรื่องขนาดของบล็อก (Block Size) ของ Bitcoin เป็นหนึ่งในประเด็นถกเถียงรุนแรงที่สุดในชุมชน Bitcoin ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยใจความของประเด็นนี้คือเรื่องความสามารถในการขยายการรองรับ กล่าวคือถกเถียงกันว่า Bitcoin จะขยายความสามารถในการรองรับธุรกรรมและการใช้งานเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ฝ่ายหนึ่ง (เรียกว่า “Big Blockers”) เชื่อว่าบล็อก ซึ่งเป็นที่บรรจุข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดควรมีขนาดเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีความสามารถในการรับส่งข้อมูล​ (Throughput) มากขึ้น ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเรียกว่า “Small Blockers” เชื่อว่าขนาดของบล็อกควรมีขนาดเล็กอย่างนี้ต่อไปเพื่อมุ่งเน้นด้านการกระจายศูนย์และความปลอดภัย

ประวัติศาสตร์ขนาดของบล็อกโดยสังเขป

ย้อนกลับไปในปี 2010 Satoshi Nakamoto ได้ทำการจำกัดขนาดของบล็อก (Block Size) ให้ Bitcoin ไว้ที่ 1 MB ซึ่งดูจะเป็นขนาดที่เขากำหนดเอาเองตามใจชอบ โดยการที่ Nakamoto ไม่เปิดเผยตัวตนก็ยิ่งทำให้การตัดสินใจและเจตนาของเขาดูเป็นปริศนายิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ ผู้คนก็คาดการณ์ว่ามาตรการจำกัดขนาดนี้เป็นเครื่องประกันอีกชั้นหนึ่งว่าบล็อกเชน Bitcoin จะสามารถรักษาความที่บล็อกเชนไม่ต้องอาศัยการอนุญาต (Permissionless) และทำให้อุปสรรคในการเข้าดำเนินการต่ำ เนื่องจากผู้เข้าร่วมจะต้องดาวน์โหลดข้อมูลบล็อกทั้งหมดเพื่อเข้าร่วมเครือข่ายโดยไม่มีบุคคลที่สามเกี่ยวข้อง

หลังจากนั้นไม่กี่ปีต่อมา ขนาดของบล็อก 1 MB ดังกล่าวก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญของ Bitcoin เมื่อ บล็อกเชนดังกล่าวโด่งดังขึ้น โดยบล็อกเหล่านี้จะได้รับการยืนยันทุกๆ ประมาณ 10 นาที แต่กลับบรรจุธุรกรรมได้เพียง 1,500 ถึง 3,000 รายการเท่านั้น ทำให้มีธุรกรรมจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ต่อแถวกันอยู่ใน Mempool และแย่งกันประมูลพื้นที่ในบล็อก อีกทั้งค่าธรรมเนียม Gas มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปด้วย และทำให้มีความเห็นสายหนึ่งเกิดขึ้นมา

กลุ่ม “Big Blockers” เห็นว่าการเพิ่มขนาดของบล็อก เช่น เพิ่มให้เป็น 2 MB หรือ 4 MB จะทำให้ในแต่ละบล็อกสามารถบรรจุธุรกรรมได้มากขึ้น และลดความล่าช้าลง การที่ระบบมีความสามารถในการรับส่งข้อมูล​ (Throughput) มากขึ้นย่อมช่วยให้ Bitcoin ก้าวขึ้นเป็นสกุลเงินและโซลูชันการชำระเงินระดับโลกได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้คนในกลุ่ม Small Blockers ก็อยากให้เป็นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามก็แย้งว่าการที่บล็อกมีขนาดเพิ่มขึ้นจะนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการกระจายศูนย์ เนื่องจากขนาดของบล็อกที่ใหญ่ขึ้นจะทำให้กลุ่มนักขุดและ Node รายย่อยร่วมดำเนินการเครือข่ายได้ยากขึ้น ฝ่ายดังกล่าวกลัวว่าจะมีการรวบอำนาจกันในหมู่ Mining Pool ถ้ารายย่อยไม่สามารถสู้ราคาในการดำเนินการได้ นอกจากนี้ บางคนยังเชื่ออีกด้วยว่าการเพิ่มขนาดของบล็อกเพื่อแก้ปัญหาความสามารถในการขยายการรองรับเป็นความไร้สาระเหมือนการพยายามดับไฟด้วยการโยนไม้ฟืนลงไปเพิ่ม โดยอาจเป็นการสร้างมาตรฐานวิธีปฏิบัติที่อันตราย เนื่องจากอาจไปเพิ่มจำนวนนักพัฒนาที่ขี้เกียจ ที่คิดว่าการเพิ่มขนาดของบล็อกเป็นยาสารพัดนึกที่แก้ได้ทุกปัญหา แทนที่จะหาวิธีใช้พื้นที่บล็อกให้ดีขึ้นหรือหาโซลูชันการขยายการรองรับอื่นๆ

การประนีประนอมห่วยๆ

ในปี 2016 สัญญาฮ่องกง (Hong Kong Agreement) ดูจะเป็นการประนีประนอมที่พอจะชี้ได้ว่าทั้งสองฝ่ายหาจุดร่วมกันได้บ้างแล้ว โดยมีการใช้ระบบ Segregated Witness (SegWit) ระบบได้ทำการลบข้อมูลของพยาน (Witness Information) ออกไปจากบล็อกและลดขนาดข้อมูลในบล็อกลง สัญญาฉบับดังกล่าวยังทำการเพิ่มขนาดของบล็อกไปเป็นประมาณ 2 MB ด้วย สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ กลุ่ม Big Blockers ดูน่าจะยินดีกับการตัดสินใจเพิ่มขนาดของบล็อกในรอบนี้ ในขณะที่กลุ่ม Small Blockers ก็ดูน่าจะดีใจที่เห็นว่าพื้นที่บล็อกมีการใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย กลุ่ม Big Blockers เห็นว่าการเพิ่มขนาดของบล็อกเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวห่วยๆ ซึ่งอีกไม่นานก็จะไปติดกำแพงขนาดของบล็อกอีก ส่วนกลุ่ม Small Blockers ก็ยืนยันต่อต้านการเพิ่มขนาดของบล็อกในทุกกรณี ซึ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงฉันทามติกันไม่ได้อยู่ดี

หลังจากนั้นไม่นาน เหล่านักพัฒนาและผู้ศรัทธาใน Bitcoin ก็เริ่มมองหาทางแก้อื่นๆ ให้กับปัญหานี้ โดยในเดือนสิงหาคมปี 2017 กลุ่ม Big Blockers ก็ได้แยกตัวออกไปทำ Hard Fork และสร้างเป็น Bitcoin Cash (BCH) ที่เริ่มต้นด้วยขนาดของบล็อก 8 MB ในขณะที่ Bitcoin ยังคงมีขนาดของบล็อกที่ 1 MB แต่ก็ได้นำ Soft Fork ระบบ SegWit มาเพิ่มจำนวนธุรกรรมให้ดำเนินการได้มากขึ้น นอกจากนี้ SegWit ยังได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพในด้านอื่นๆ อีกที่เป็นผลให้ขนาดของบล็อกที่ใช้ได้จริงอยู่ที่ประมาณ 1.6 ถึง 2 MB ด้วย

สันติภาพชั่วคราว

สงครามในเรื่องขนาดของบล็อกได้สงบลงหลังจาก BCH ได้ทำการ Hard Fork ออกไป แต่การถกเถียงในประเด็นความสามารถในการขยายการรองรับก็ยังมีอยู่ต่อไปในทั้งชุมชน BTC และ BCH อยู่ดี ทั้งนี้ BCH ได้เพิ่มขนาดของบล็อกของตนเป็น 32 MB และยังคงมีพื้นที่ส่วนเกินเหลืออยู่ ส่วนชุมชน Bitcoin ก็ยังคงศึกษาหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป เช่นการใช้ Lightning Network, Liquid Network, Schnorr Signature และวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการประมวลผลธุรกรรม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็ยิ่งปรากฏชัดด้วยว่า Bitcoin จำเป็นต้องมีโซลูชันการขยายการรองรับ (Scaling Solution) ที่ใช้ได้จริงได้แล้ว จากการที่ Ordinal NFT และโทเค็น โทเค็น BRC-20 ได้ลากบล็อกเหล่านี้มาทำการทดสอบอย่างทารุณ

ทั้งฝ่าย Big และ Small Blockers ต่างก็มีข้อถกเถียงที่ดีในเรื่องการรักษาสมดุลระหว่างความสามารถในการขยายการรองรับและการกระจายศูนย์ และต่างฝ่ายต่างก็มีผู้คนที่มีเจตนาสุจริตอยากเห็น Bitcoin ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความไม่ลงรอยกันในประเด็นว่าจะเดินหน้าต่อไปในทิศทางใดจึงจะดีที่สุด โดยการถกเถียงกันเรื่องขนาดของบล็อกนั้นก็แสดงถึงความท้าทายด้านการกำกับดูแลในโปรโตคอลกระจายศูนย์อย่าง Bitcoin ซึ่งที่สุดแล้วก็เป็นการยากที่จะตกลงได้ฉันทามติได้ระหว่างทุกฝ่าย และการขัดแย้งดังกล่าวก็ทำได้เพียงแต่ให้ผู้ใช้เป็นผู้ตัดสินใจเท่านั้นว่าตนจะชอบฟีเจอร์ใด เลือกใช้เหรียญใดกันนั่นเอง

แชร์
link_icon
หากยังไม่ได้เป็น Bitgetterของขวัญต้อนรับมูลค่า 6,200 USDT สำหรับ Bitgetter หน้าใหม่!
สมัครเลย
ทุกเหรียญโปรดของคุณ เรามีให้ครบครัน!
ซื้อ ถือ และขายคริปโทเคอร์เรนซียอดนิยม เช่น BTC, ETH, SOL, DOGE, SHIB, PEPE และอีกเพียบ ลงทะเบียนและเทรดเพื่อรับเซ็ตของขวัญสำหรับผู้ใช้ใหม่มูลค่า 6,200 USDT!
เทรดเลย