ข่าวสาร Mina (MINA)

Mina คืออะไร

Mina Protocol เป็นเทคโนโลยีบล็อกเชนล้ำสมัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับการใช้งานแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApp) Mina โดดเด่นด้วยความเป็นบล็อกเชนที่เบาสุดในโลก โดยมีขนาดคงที่เพียง 22 KB ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับบล็อกเชนของ Bitcoin ที่มีขนาดโดยประมาณถึง 300 GB นวัตกรรมการออกแบบนี้ช่วยให้ Mina Protocol สามารถดำเนินการยืนยันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมเปิดประตูสู่การใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการเงิน ชื่อเดิมของ Mina Protocol คือ Coda Protocol และหลังจากนั้นในเดือนตุลาคมปี 2020 โปรเจกต์นี้ก็ได้รับการรีแบรนด์ให้กลายเป็น Mina ดังเช่นในปัจจุบัน

แหล่งข้อมูล

เอกสารทางการ: https://docs.minaprotocol.com/

เว็บไซต์ทางการ: https://minaprotocol.com/

Mina ทำงานอย่างไร

Mina Protocol ใช้วิธีการอันเป็นเอกลักษณ์ในสถาปัตยกรรมบล็อกเชน โดยใช้ประโยชน์จากความสามารถของ Zero-Knowledge Succinct Non-interactive Argument of Knowledge (zk-SNARK) กล่าวคือ Mina แตกต่างจากบล็อกเชนแบบดั้งเดิมที่สถานะของบล็อกเชนจะเป็นฟังก์ชันของบล็อกก่อนหน้าทั้งหมด เพราะ Mina จะอนุญาตให้ผู้ใช้ปลายทางทำการยืนยันสถานะของบล็อกเชนด้วยการพิสูจน์ข้อมูล zk-SNARK ที่บีบอัดแล้ว ซึ่งจะเน้นเฉพาะบล็อกเชนเพียงไม่กี่บล็อกสุดท้ายเท่านั้น ฟีเจอร์นี้ทำให้ Mina มีประสิทธิภาพสูงและใช้งานได้จริง แม้แต่บนอุปกรณ์ที่มีพลังในการประมวลผลจำกัดก็ตาม

ใน Mina ธุรกรรมจะเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่ผู้ใช้เริ่มทำการเทรด ซึ่งจะเป็นการเข้าสู่ Mempool ของธุรกรรมที่ยังไม่ได้รับการยืนยันแต่มีความถูกต้อง Snarker จะสร้าง zk-SNARK ที่จำเป็นต้องใช้ขึ้นมา และเลือกผู้ผลิตบล็อกเพื่อรวมธุรกรรมหลายรายการไว้ในบล็อกเดียว จากนั้นผู้ผลิตบล็อกจะเลือก zk-SNARK ตามกฎของกลไก Proof of Stake (PoS) ของ Ouroboros Samasika ของ Mina และเพิ่มบล็อกลงใน Chain ซึ่งกระบวนการนี้จะถือเป็นการอัปเดตเครือข่าย และในท้ายที่สุดแล้ว บล็อกใหม่ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของบล็อกเชนที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้นั่นเอง

โทเค็น Mina (MINA) คืออะไร

หัวใจหลักของโปรโตคอล Mina คือคริปโทเคอร์เรนซีดั้งเดิมที่ชื่อว่า MINA โดยโทเค็นนี้จะทำหน้าที่ 2 บทบาทด้วยกัน คือ ทำหน้าที่เป็นทั้ง Utility Token สำหรับเครือข่ายและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หากทำการถือครองโทเค็น MINA ผู้ใช้จะได้รับสิทธิ์มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของเครือข่าย ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมและการกำกับดูแล

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาโทเค็น Mina (MINA) มีอะไรบ้าง

ปัจจัยที่อาจมีอิทธิพลต่อราคาของโทเค็น MINA ได้มีหลายปัจจัยด้วยกัน

- การใช้งานเครือข่าย: ยิ่งมีผู้ใช้และแอปพลิเคชันบน Mina Protocol มากขึ้นเท่าใด ความต้องการโทเค็น MINA ก็จะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาโทเค็นสูงขึ้นตามไปด้วย

- การพัฒนาทางเทคโนโลยี: การอัปเดตหรือความก้าวหน้าใดๆ ในเทคโนโลยีของ Mina Protocol อาจส่งผลในเชิงบวกต่อราคาโทเค็น MINA

- ความเชื่อมั่นของตลาด: เช่นเดียวกับคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ ทั้งหมด ราคาของโทเค็น MINA จะขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของตลาด ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลมาจากข่าวสาร โซเชียลมีเดีย และปัจจัยภายนอกอื่นๆ ได้

- การเปลี่ยนแปลงด้านการกำกับดูแล: ข้อบังคับหรือกฎการกำกับดูแลของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี สามารถส่งผลกระทบเชิงบวกหรือเชิงลบต่อราคาโทเค็น MINA ได้

ผลกระทบของ Mina ในด้านการเงิน

แนวทางการปฏิวัติเทคโนโลยีบล็อกเชนของ Mina Protocol อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเซกเตอร์การเงินได้ ด้วยการออกแบบที่เบาและมีประสิทธิภาพของ Mina ทำให้เหมาะสำหรับการทำธุรกรรมที่รวดเร็วและต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับการนำมาใช้งานในด้านการเงิน ตั้งแต่การชำระเงินข้ามพรมแดนไปจนถึงระบบ Decentralized Finance (DeFi)

นอกจากนี้ การใช้ zk-SNARK ยังนำมาซึ่งความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในระดับที่สูงขึ้นสำหรับธุรกรรมทางการเงิน ดังนั้น Mina จึงสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของบริการทางการเงินที่เน้นความเป็นส่วนตัวได้

บทสรุป

สรุปได้ว่า Mina Protocol ถือเป็นนวัตกรรมที่ก้าวล้ำในวงการบล็อกเชน โดยนำเสนอการผสมผสานที่มีเอกลักษณ์ระหว่างประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการกระจายศูนย์ บล็อกเชน Mina ที่มีขนาดเพียง 22 KB จะสามารถแก้ปัญหา “Blockchain Trilemma” ได้ด้วยการสร้างสมดุลระหว่างความสามารถในการขยายการรองรับ ความปลอดภัย และการกระจายศูนย์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มักได้รับการพิจารณาว่าไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้ในการออกแบบบล็อกเชนแบบดั้งเดิม ทั้งนี้ “MINA” โทเค็นดั้งเดิมของบล็อกเชนยังช่วยเพิ่มประโยชน์ใช้สอย และความหลากหลายในการนำไปใช้งานให้กับระบบนิเวศ นอกจากนั้น การออกแบบของ MINA ก็ยังมีอิทธิพลสำคัญต่อเซกเตอร์การเงิน ซึ่งรวมไปถึงศักยภาพในการนำไปใช้งานใน Decentralized Finance และการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน เป็นต้น